สารบัญบทความ
Toggleใครที่รักสุขภาพจะต้องอ่านบทความนี้ เพราะเราจะมาบอกว่าอาการธรรมดาที่ไม่ธรรมดาอย่างอาการถ่ายไม่ออก หรือที่เรียกกันว่าท้องผูกเกิดจากอะไร เพราะปัญหาท้องผูกเชื่อว่าหลายคนจะต้องเคยเจอ แต่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการท้องผูกเรื้อรัง เราจึงจำเป็นจะต้องทราบทั้งอาการท้องผูก วิธีป้องกัน ตลอดจนการแก้อาการท้องผูก เร่งด่วน และใครที่สงสัยว่าท้องผูก กินโยเกิร์ตเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร วันนี้บทความของเราจะมาขยายให้ได้เข้าใจไปพร้อมกัน
ทำความรู้จักอาการ “ถ่ายไม่ออก” อาการธรรมดาที่ไม่ปกติ
การเบ่งอุจจาระไม่ออกหรือที่เรียกว่าอาการท้องผูกเป็นปัญหาการย่อยอาหารทั่วไปที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนนับล้านทั่วโลก ลักษณะเฉพาะคือการเคลื่อนไหวของลำไส้ทำงานได้ไม่ดีหรืออุจจาระลำบาก และอาจทำให้รู้สึกไม่สบาย เจ็บปวด และอาจมีอาการทางเดินอาหารอื่น ๆ การทำความเข้าใจเรื่องของการถ่ายไม่ออก สามารถช่วยให้ทุกคนรักษาสุขภาพทางเดินอาหารที่ดี และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับอาการท้องผูกได้
ถ่ายไม่ออก ท้องผูก อาการเป็นอย่างไร
ท้องผูก อาการจะเป็นภาวะที่มีความยากลำบาก หรือเป็นเพราะการเคลื่อนไหวของลำไส้ทำได้ไม่ดีนัก อาการท้องผูกอาจรวมถึงอาการต่อไปนี้
1. ความเครียดในระหว่างขับถ่ายหรือมีการเคลื่อนไหวของลำไส้
2. มีการขับถ่ายน้อยกว่าสามครั้งต่อสัปดาห์
3. อุจจาระแข็งหรือเป็นก้อน
4. รู้สึกเหมือนคุณยังล้างลำไส้ไม่หมด
5. รู้สึกไม่สบายท้องหรือปวดท้อง
6. ท้องอืด อาหารไม่ย่อย หรือรู้สึกมีแก๊ส
7. รู้สึกไม่สบายหรือปวดทวารหนัก
8. สูญเสียความอยากอาหาร
9. มีอาการเหนื่อยล้า
โปรดทราบว่าความรุนแรงและความถี่ของอาการเหล่านี้ อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล หากคุณมีอาการเหล่านี้หรือมีความกังวลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของลำไส้ ขอแนะนำให้คุณปรึกษากับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณ
ปัญหาถ่ายไม่ออก ท้องผูก เกิดจากอะไร
อาการท้องผูกอาจเกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่
1. อาหารที่มีเส้นใยต่ำ
อาหารที่มีเส้นใยต่ำอาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ เนื่องจากเส้นใยช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระ และส่งเสริมการเคลื่อนไหวของลำไส้
2. ภาวะขาดน้ำ
การขาดของเหลวในร่างกาย อาจทำให้อุจจาระแข็งและถ่ายลำบาก
3. ขาดการออกกำลังกาย
การใช้ชีวิตแบบนั่งนิ่ง อาจทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง ซึ่งนำไปสู่อาการท้องผูก
4. ยาบางชนิด
ยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์ ยาต้านอาการซึมเศร้า และยาลดกรด อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้
5. สภาวะทางการแพทย์
สภาวะทางการแพทย์บางอย่าง เช่น โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) ภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ และความผิดปกติของระบบประสาท อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้
6. การตั้งครรภ์
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในระหว่างตั้งครรภ์ อาจทำให้ท้องผูกได้
7. การเพิกเฉยต่อความอยากถ่ายอุจจาระ
การเพิกเฉยต่อการกระตุ้นให้ลำไส้เคลื่อนไหวอาจนำไปสู่การหยุดชะงัก ในการตอบสนองตามธรรมชาติของระบบย่อยอาหาร ซึ่งนำไปสู่อาการท้องผูก
8. อายุ
เมื่ออายุมากขึ้น ระบบย่อยอาหารจะทำงานช้าลง ส่งผลให้เกิดอาการท้องผูก
9. ความเครียด
ความเครียดเรื้อรังสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระบบย่อยอาหาร รวมถึงทำให้อาการท้องผูก ในกรณีนี้ส่วนใหญ่ อาการท้องผูกจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวและสามารถบรรเทาได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงอาหารและวิถีชีวิต
อย่างไรก็ตาม หากอาการท้องผูกยังคงอยู่หรือมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย สิ่งสำคัญคือต้องปรึกษาแพทย์ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาที่เหมาะสม
ถ่ายไม่ออก ท้องผูกเรื้อรัง เสี่ยงเป็นโรคอะไรได้อีกบ้าง?
อาการถ่ายไม่ออก ท้องผูกเรื้อรังอาจเป็นอาการของโรคประจำตัว หรืออาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้ โรคบางอย่างที่มีความเสี่ยงในผู้ที่มีอาการท้องผูกเรื้อรัง ได้แก่
2. โรคริดสีดวงทวาร
3. รอยแยกทางทวารหนัก
4. โรคถุงลมอักเสบ
6. อาการห้อยยานของอวัยวะ
7. ความผิดปกติของอุ้งเชิงกราน
8. โรคลำไส้อักเสบ (IBD)
9. โรคกระเพาะ
10. ความผิดปกติทางระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง และไขสันหลังบาดเจ็บ
นอกจากผลกระทบข้างต้นแล้ว อาการถ่ายไม่ออก ท้องผูกที่ไม่ได้รับการรักษายังอาจนำไปสู่ความทุกข์ทางจิตใจ รวมถึงความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องจัดการกับอาการท้องผูกทันที จึงควรจัดการดูแลตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นตั้งแต่แรก
อาการถ่ายไม่ออก วิธีป้องกันที่สามารถเริ่มต้นได้ง่าย ๆ
มีขั้นตอนง่าย ๆ หลายอย่างที่คุณสามารถทำได้ เพื่อช่วยป้องกันอาการถ่ายไม่ออก ได้แก่
1. การรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง
เส้นใยสามารถช่วยให้อุจจาระนิ่มลง และทำให้ถ่ายได้ง่ายขึ้น พยายามกินอาหารที่มีกากใยสูงให้หลากหลาย เช่น ผลไม้ ผัก เมล็ดธัญพืช และพืชตระกูลถั่ว
2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ
การดื่มน้ำมาก ๆ รวมถึงการบริโภคของเหลวอื่น ๆ สามารถช่วยให้อุจจาระนิ่มลงและทำให้ถ่ายได้ง่ายขึ้น
3. ออกกำลังกายเป็นประจำ
การออกกำลังกายเป็นประจำ สามารถช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้และช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้
4. สร้างกิจวัตรการเข้าห้องน้ำให้เป็นปกติ
พยายามเข้าห้องน้ำเวลาเดิมทุกวัน โดยเฉพาะหลังมื้ออาหาร เพื่อสร้างกิจวัตรการขับถ่ายให้เป็นปกติ
5. หลีกเลี่ยงการขับถ่ายที่ล่าช้า
การเพิกเฉยต่อการกระตุ้นให้มีการขับถ่ายอาจทำให้อุจจาระแข็งขึ้นและแห้ง ทำให้ถ่ายยากขึ้น
6. จำกัดอาหารบางชนิด
อาหารบางชนิดอาจทำให้ท้องผูกได้ เช่น ผลิตภัณฑ์จากนม อาหารแปรรูป และอาหารที่มีไขมันหรือน้ำตาลสูง
ท้องผูกกินโยเกิร์ต ช่วยได้หรือไม่
ท้องผูก ถ่ายไม่ออก อาการที่ใครก็ไม่อยากเป็น การกินโยเกิร์ตช่วยบรรเทาอาการท้องผูก สำหรับบางคนได้ เนื่องจากมีโพรไบโอติก ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่มีประโยชน์ที่สามารถส่งเสริมสุขภาพทางเดินอาหาร โพรไบโอติกในโยเกิร์ตสามารถช่วยปรับปรุงสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ ซึ่งสามารถช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของลำไส้ นอกจากนี้ โยเกิร์ตยังเป็นแหล่งแคลเซียมที่ดี ซึ่งสามารถช่วยแก้อาการท้องผูกได้อีกด้วย เนื่องจากแคลเซียมช่วยให้กล้ามเนื้อในระบบทางเดินอาหารหดตัวและคลายตัวอย่างเหมาะสม ซึ่งสามารถช่วยเคลื่อนอุจจาระผ่านลำไส้ได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่าโยเกิร์ตทุกประเภทไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเท่ากัน เมื่อต้องบรรเทาอาการท้องผูก มองหาโยเกิร์ตที่มีเชื้อจุลินทีรย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งบ่งชี้ว่ามีโพรไบโอติกอยู่ นอกจากนี้ หลีกเลี่ยงโยเกิร์ตที่เติมน้ำตาลหรือสารให้ความหวานเทียม เพราะสิ่งเหล่านี้อาจให้ผลตรงกันข้ามและทำให้อาการท้องผูกแย่ลง
ดังนั้นเราขอแนะนำผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตออร์แกนิค (Organic Yogurt) จาก 蝴蝶有机 ซึ่งมุ่งผลิตสินค้าที่มีมาตรฐานออแกนิคแท้ ที่ได้รับรองมาตรฐานสากล ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าไม่มีการเติมสารให้ความหวานเทียมลงไป สำหรับผู้ที่สนใจสั่งสินค้าและดูสินค้าเพิ่มเติมสามารถติดตามผ่านไลน์ได้ที่นี่ LINE SHOP BUTTERFLY ORGANIC
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
ระยะเวลาที่ไม่มีการขับถ่ายที่ถือว่าอันตรายนั้นแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและสุขภาพโดยรวม โดยทั่วไป หากคุณไม่ได้ขับถ่ายเป็นเวลาสามวันหรือมากกว่านั้น อาจเป็นสัญญาณของอาการท้องผูกและอาจเป็นอันตรายได้ หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาการท้องผูกอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น การกดทับของอุจจาระ ซึ่งอุจจาระแข็งสะสมในทวารหนักและทำให้อุจจาระผ่านได้ยาก สิ่งนี้สามารถนำไปสู่อาการต่าง ๆ เช่น ปวดท้อง คลื่นไส้ และอาเจียน
ควรเพิ่มปริมาณการบริโภคอาหารที่มีใยอาหารให้มากขึ้นเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงอาการเหล่านี้ ทางที่ดีควรค่อย ๆ เพิ่มปริมาณไฟเบอร์และดื่มน้ำมาก ๆ หากคุณมีอาการต่อเนื่องหรือรุนแรง สิ่งสำคัญคือต้องปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ